
การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า
อาการปวดคอเป็นหนึ่งในอาการของ “โรคกระดูกคอเสื่อม” ที่พบได้มากในปัจจุบัน มักพบในวัยกลางคน และในผู้สูงอายุไม่ว่าจะทั้ง เพศชาย และหญิง อายุระหว่าง 40-60 ปี โดยจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โรคกระดูกคอเสื่อมจะเกิดจากความเสื่อมของโครงสร้างที่อยู่บริเวณคอ ได้แก่ กระดูกคอ ข้อต่อกระดูกคอ เอ็นยึดข้อต่อ หมอนรองกระดูกคอ และกล้ามเนื้อบริเวณคอ ความเสื่อมมักเพิ่มขึ้นตามอายุ จะสามารถพบโรคกระดูกคอเสื่อมร้อยละ 50 ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และพบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75-85 ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ความเสื่อมนี้ ส่วนใหญ่นั้นจะเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และอาจไม่แสดงอาการ หรือมีอาการร่วมด้วย มากน้อยแตกต่างกัน เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุและกลไกของการเกิดความเสื่อม อาการของโรคกระดูกคอเสื่อม จึงจำเป็นต้องอธิบายถึงลักษณะทางกายภาพของกระดูกคอดังนี้ค่ะ
ลักษณะทางกายภาพของกระดูกคอ “โรคกระดูกคอเสื่อม”
โรคกระดูกคอเสื่อม กระดูกคอเรามีทั้งหมด 7 ชิ้นเรียงต่อกัน ซึ่งทำให้กระดูกคอเกิดการเคลื่อนไหวในทิศทางต่าง ๆ ได้ เช่น การก้ม การเอียงคอ การเงย หรือการหมุนคอ กระดูกคอแต่ละชิ้นมีหมอนรองกระดูกคอทำหน้าที่รับแรงกดระหว่างกระดูก และเอ็นยึดข้อต่อกระดูกคอในตำแหน่งต่าง ๆ องค์ประกอบดังกล่าวทำให้เกิดความมั่นคงของกระดูกคอ โดยเฉพาะเอ็นยึดข้อต่อกระดูกคอ ซึ่งจะมีความแข็งแรงและช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกคอก้มมากจนเกินไป ระหว่างกระดูกคอแต่ละชิ้นมีช่องให้เส้นประสาทระดับคอที่เชื่อมมาจากไขสันหลังลอดออกมาเพื่อไปเลี้ยงโครงสร้างต่าง ๆ ในบริเวณที่อยู่ไกลออกไปตั้งแต่บ่า ไหล่ ลงไปจนถึงปลายนิ้ว ข้างเดียวกัน กระดูกคอชิ้นที่มักจะพบความเสื่อมมากที่สุดนั่นก็คือ ข้อต่อระหว่างกระดูกคอชิ้นที่ 5-6 และ 6-74,5 เนื่องจากเป็นข้อต่อที่จะมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด และรับน้ำหนักมากที่สุดนั่นเอง
โรคกระดูกคอเสื่อม จะเกิดจากความเสื่อมของร่างกายที่เป็นไปตามวัย โดยมักจะพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แต่อาจพบได้ในคนวัยอื่น ๆ ที่จะมีปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
1 กรรมพันธุ์ อาจจะเกิดจากความผิดปกติขององค์ประกอบของหมอนรองกระดูก ทำให้หมอนรองกระดูกเกิดการสลายตัว และทำให้เกิดความเสื่อมได้ง่าย หรือเกิดจากการเชื่อมกันของกระดูกคอ ตั้งแต่กำเนิด เช่น กลุ่มอาการ Klippel-Feil ซึ่งมีการเชื่อมกันของกระดูกคอ หากมีการเชื่อมกันของข้อต่อระหว่างกระดูกคอ ชิ้นที่ 3-4 ซึ่งจะทำให้ ข้อต่อระหว่างกระดูกคอที่อยู่ถัดขึ้นไปด้านบนและล่าง เกิดการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดความเสื่อมมากขึ้นได้
2 ท่าทางหรือการใช้งานในชีวิตประจำวัน
– การเคลื่อนไหวคอในท่าเดิมซ้ำ ๆ เช่น การใช้งานศีรษะในท่าก้ม เงย หรือหมุนคอบ่อย ๆ เช่น ช่างทาสี ช่างไฟ หรือการที่นำของหนัก ๆ มาแบกไว้ที่ศีรษะ
– การอยู่ในอิริยาบทที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน เช่น นั่งในท่าคอยื่นไปด้านหน้าขณะนั่งทำงาน การนอนคว่ำอ่านหนังสือ การก้มคอเล่นโทรศัพท์มือถือบ่อย ๆ หรือนอนหงายบนหมอนเตี้ยเป็นเวลานาน ๆ เป็นต้น
3 เกิดอุบัติเหตุ หรือมีการกระแทกที่กระดูกสันหลังคอโดยตรง
4 การเล่นกีฬาที่มีการกระแทก หรือการปะทะกันบ่อย ๆ อย่างหนัก เช่น อเมริกันฟุตบอล หรือการเล่นโยคะในท่าหัวโหม่งพื้น
5 ไม่ออกกำลังกาย และสูบบุหรี่ โดยสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกระดูกคอ หมอนรองกระดูกคอและกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้ไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ไปเลี้ยงโครงสร้างดังกล่าวได้เต็มที่ เร่งให้เกิดกระดูกคอและหมอนรองกระดูกคอเสื่อมเร็วมากขึ้นด้วยนั่นเอง
กลไกการเกิดโรค
เมื่อมีอายุมากขึ้น โครงสร้างต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างกระดูกคอในแต่ละชิ้น ได้รับแรงกดกระแทกสะสมเป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้โครงสร้างต่าง ๆ มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป อาจแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 การเสื่อมของหมอนรองกระดูกคอ โดยในหมอนรองกระดูกคอจะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่ภายด้านใน ซึ่งจะทำหน้าที่ดูดซับแรง และกระจายน้ำหนัก ป้องกันอันตรายต่อกระดูกคอ เมื่ออายุมากขึ้นน้ำในหมอนรองกระดูกคอก็เริ่มลดลง โดยเปลี่ยนจาก 90% ในเด็กเป็น 70% ในคนอายุ 72 ปี9 ความยืดหยุ่นจึงลดลง ด้วย ร่วมกับกระดูกคอต้องรับน้ำหนักของกะโหลกศีรษะอยู่ตลอดเวลา ทำให้หมอนรองกระดูกคอบางลง หากหมอนรองกระดูกคอบางลงมากส่งผลให้กระดูกคอ หรือข้อต่อกระดูกคอเกิดการกดเบียดกันมากขึ้นทำให้เกิดอาการปวดตามมาได้
ลักษณะระยะที่ 2 การเสื่อมของข้อต่อกระดูกคอ เมื่อข้อต่อกระดูกคอ เกิดการกดเบียดมากยิ่งขึ้นส่งผลให้เกิดการเสื่อมขึ้น อาจจะทำให้การเคลื่อนไหวของข้อมีปัญหา รู้สึกปวดขัดตึงคอมาก ๆ เมื่อเคลื่อนไหวคอ
ลักษณะระยะที่ 3 ข้อต่อของกระดูกคอ ขาดความมั่นคง หรือข้อต่อหลวม เมื่อการเคลื่อนไหวระหว่างกระดูกคอชิ้นบนกับล่างไม่ดี เอ็นที่ยึดข้อต่อบริเวณกระดูกคอก็จะเกิดการเสื่อมตามไปด้วย ความมั่นคงของข้อต่อกระดูกคอจึงลดลง ทำให้มีอาการปวดคอเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ได้
ระยะที่ 4 เมื่อมีความเสื่อมมากยิ่งขึ้น ข้อต่อกระดูกคอขาดความมั่นคง ร่างกายจะพยายามทดแทนด้วยการสร้างกระดูกงอก ขึ้นมาบริเวณที่เกิดการเสื่อมของกระดูก และทำให้เอ็นยึดข้อต่อต่าง ๆ หนาตัวขึ้น เพื่อยึดข้อต่อกระดูกคอที่หลวมให้กลับมามีความมั่นคง แต่กระดูกงอกหรือเอ็นยึดข้อต่อที่หนาตัวขึ้นนี้กลับทำให้การเคลื่อนไหวของคอลดลง และอาจส่งผลให้ช่องทางออกของเส้นประสาทระดับคอแคบลงทำให้เส้นประสาทถูกกดทับเกิดอาการปวดหรือชาตามมา อาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน
ผู้ที่มีกระดูกคอเสื่อมอาจไม่มีอาการแสดงใด ๆ แต่ในกรณีที่มีอาการ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเมื่อยคอเป็น ๆ หาย ๆ รู้สึกปวดบริเวณคอร้าวขึ้นไปถึงท้ายทอย หรือร้าวลงไปสะบัก ไหล่ แขนหรือมือได้ รวมทั้งมีอาการคอแข็งทำให้เคลื่อนไหวคอได้ยาก อาการปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวและสัมพันธ์กับท่าทางของคอโดยเฉพาะท่าเงย เอียงหรือหมุนศีรษะ10 อาการของโรคกระดูกคอเสื่อมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1 กลุ่มอาการที่เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกและกระดูกคอ มักมีอาการปวดคอร่วมกับเคลื่อนไหวคอได้ยาก อาการมากขึ้นขณะเงยศีรษะ เอียงศีรษะ หมุนศีรษะหรืออยู่ในท่านั่งหรือยืนนาน ๆ นอนพักอาการจะดีขึ้น ส่วนใหญ่มีอาการปวดตรงกลางคอ อาจมีปวดร้าวมาที่สะบักด้านใน ไหล่ และมักพบการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อร่วมด้วย
2 กลุ่มอาการของเส้นประสาทถูกกดทับ เส้นประสาทที่มักโดนรบกวนคือเส้นประสาทคอระดับที่ 6 จึงทำให้มีอาการปวดร้าวลงมาที่แขนและมือ และอาการจะมากขึ้นเมื่อเงยศีรษะขึ้น เอียงศีรษะหรือหมุนศีรษะไปด้านที่มีอาการ นั่งในท่าคอยื่นไปด้านหน้าเป็นเวลานาน นอนหงายบนหมอนเตี้ยเป็นเวลานาน ขณะนั่งหรือยืน เนื่องจากมีน้ำหนักศีรษะกดบริเวณข้อต่อกระดูกคอส่งผลให้ช่องเส้นประสาทบริเวณคอแคบลงเกิดการกดทับเส้นประสาท เมื่อนอนพักอาการปวดร้าวลงแขนจะดีขึ้น หากเส้นประสาทถูกกดทับเป็นเวลานานอาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงตามกล้ามเนื้อที่เส้นประสาทไปเลี้ยงร่วมด้วย
3 กลุ่มอาการของไขสันหลังถูกกดทับ มักจะพบอาการอ่อนแรง และชาบริเวณแขน ขา มือ และเท้า การประสานงานของร่างกายที่ผิดปกติ ใช้มือได้ไม่คล่องเหมือนเคย เดินลำบาก หรือไม่สามารถควบคุมระบบขับถ่ายหรือระบบปัสสาวะได้ นอกจากนี้อาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ในกรณีที่มีกระดูกงอกอาจไปเบียดหลอดอาหาร ทำให้มีอาการกลืนลำบากได้ หรือไปกดเบียดเส้นเลือดบริเวณคอ (vertebral artery) ทำให้มีอาการเวียนศีรษะ มีเสียงในหู เป็นต้น
ดังนั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวด อาการชา หรืออ่อนแรงไม่รุนแรง ควรพบนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ เพื่อแนะนำการออกกำลังกายแบบเพิ่มความยืดหยุ่น และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอและหลังส่วนบน ร่วมกับปรับท่าทาง และพฤติกรรมการใช้งานให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อช่วยให้อาการดังกล่าวดีขึ้น แต่ถ้ามีอาการของโรคกระดูกคอเสื่อมที่รุนแรงดังต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์ ได้แก่
- อาการปวดรุนแรงมากยิ่งขึ้น
- การควบคุม หรือการประสานงานกันของร่างกายมีความผิดปกติ เช่น ติดกระดุมเสื้อผ้าไม่ได้ ลายมือเปลี่ยนไป เดินลำบากขึ้น มืออ่อนแรง ยกขวดน้ำ หรือแก้วน้ำไม่ไหว
- มีอาการอ่อนแรง หรือรู้สึกหนักที่ขาหรือที่แขน มีอาการเดินลำบากมากขึ้น ทรงตัวได้ไม่ดี หากเป็นมากขึ้นจะเดินช้าลง และเดินกางขา
- ประสบปัญหาในการกลั้นปัสสาวะ หรืออุจจาระ
โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ เป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็ก บริการรับดูแล และ การรักษา การบำบัด การพยาบาลและการฟื้นฟูร่างกาย ผู้สูงอายุและผู้ป่วย โดยทีมสหวิชาชีพ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลและนักกายภาพบำบัด ผ่านการรับรองมาตรฐานของกระทรวงสาธารสุข
เรารับอาสาดูแลคนที่ท่านรัก เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน โดยทีมงานมืออาชีพมากด้วยประสบการณ์ จากทีมงานสหวิชาชีพผู้ชำนาญการ และเราพร้อมให้บริการ ที่พักแก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ทั้งประจำและไป – กลับ รายวันและรายเดือน เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ป่วยเรื้อรัง ติดเตียง หรือต้องการพักฟื้น เน้นการฟื้นฟูและการบำบัด
Smile Physical Therapy Hospital โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ 87 หมู่9 ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ประเทศไทย 11140
Tel : 099 914 1595 ( คุณแพรว )
Line : @smilehospital24
E-mail : [email protected]
Tiktok : @smilepthospital.com
YouTube : @user-je7ou7rm9b
FaceTBook : โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ (Smile Physical Therapy Hospital)