เตรียมรับมือกับภาวะโรคข้อเท้าแพลง (Ankle Sprain)
ในปัจจุบันผู้คนต่างเร่งรีบในการใช้ชีวิต หรือการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปทำงาน, บางคนต้องเดินไปทำงานในระยะทางที่ไกล หรือการวิ่งตามรถโดยสาร และการวิ่งขึ้นลงบันไดด้วยความรวดเร็ว หรือแม้กระทั่งการเล่นกีฬาที่ต้องใช้ ความเร็วอย่างสม่ำเสมอ ในกลุ่มนักกีฬาประเภทต่าง ๆ เช่น ฟุตบอล, นักวิ่งระยะไกล หรือนักกีฬาบาสเกตบอล ในกิจกรรมดังกล่าว ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดประสบอุบัติเหตุ เช่น การหกล้มหัวเข่ากระแทก ก้นกระแทก หลังกระแทก หรือแม้กระทั่งการเกิดอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าขณะที่ใช้งานได้ โดยอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าที่พบกันได้ส่วนใหญ่ก็คือ เอ็นยึดข้อ (ligament) รอบข้อเท้าบาดเจ็บจากข้อเท้า พลิกออกด้านข้าง หรือที่เรียกว่า โรคข้อเท้าแพลง (ankle sprain) ซึ่งพยาธิสภาพของโรคจะอยู่ที่เส้นเอ็นยึดข้อ, เนื้อเยื่อ (tissue) หรือเยื้อหุ้มข้อต่อ (joint capsule) รอบ ๆ ข้อเท้า
โรคข้อเท้าแพลง ข้อเท้าแพลงคืออะไร?
โรคข้อเท้าแพลง ข้อเท้าแพลงคืออะไร? คือภาวะอาการเจ็บของเส้นเอ็นที่ยึดข้อ หรือเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้อเท้าอย่างเฉียบพลัน (acute injury) มักเกิดจากการที่ข้อเท้าเกิดการบิดหมุนออกจากจุดศูนย์กลาง ส่งผลให้เอ็นยึดข้อถูกยืด และเนื้อเยื่อรอบ ๆ บริเวณข้อเท้าเกิดอาการบาดเจ็บ หลังจากการทำกิจกรรมที่มีการลงน้ำหนักที่เท้ามาก ๆ เช่น การกระโดดลงพื้น (landing) ผิดจังหวะ การวิ่งเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว (cutting) หรืออาจเกิดจากแรงปะทะจากภายนอก (contact injury) เช่น การสะดุดล้ม อุบัติเหตุทางรถยนต์ ถ้าหากมีอุบัติเหตุรุนแรง อาจทำให้เส้นเอ็นถึงกับฉีกขาด อาจกระดูกร้าว หรือบางกรณีอาจถึงขั้นกระดูกหัก (bone fracture) ได้ ในทางการแพทย์สามารถแบ่งความรุนแรง ของการบาดเจ็บของโรคข้อเท้าแพลงออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
- ระดับที่ 1 (mild)
เส้นเอ็นที่ยึดข้อเท้าถูกยืด หรือมีการขาดของเอ็นข้อเท้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยอาจพบภาวะบวม (swelling) จุดที่กดแล้วเจ็บบริเวณเอ็นข้อเท้า (tenderness) ห้อเลือด (ecchymosis) หรือรอยฟกช้ำ (bruise) ที่ผิวหนังได้ คนไข้จะยังสามารถเดินลงน้ำหนัก (weight bearing) ได้ตามปกติ และอาการดังกล่าวมักจะหายปกติภายในเวลา 2 สัปดาห์
- ระดับที่ 2 (moderate)
เส้นเอ็นได้มีการฉีกขาดเป็นบางส่วน (partial tear) โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวด และบวมค่อนข้างมาก อาจจะเริ่มเดินลงน้ำหนักไม่ค่อยได้ และเริ่มเกิดภาวะหลวมของข้อเท้า (ankle joint instability) อาการดังกล่าวมักจะหายภายในเวลา 4 – 6 สัปดาห์
- ระดับที่ 3 (severe)
เส้นเอ็นมีการฉีกขาดทั้งหมด (complete tear) มักจะพบว่าผู้ป่วยไม่สามารถเดินลงน้ำหนักได้เลย มีอาการปวดบวมมาก ร่วมกับการเกิดภาวะหลวมของข้อเท้าอย่างมาก ร่วมกับข้อต่อเคลื่อนไหวได้มากเกินกว่าปกติ (hypermobility) อาจต้องใช้เวลาในการรักษานานถึง 6 – 10 เดือน
ข้อเท้าแพลงสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามกลไกการบาดเจ็บ ดังนี้
- ข้อเท้าแพลงด้านนอก (lateral ankle sprain) จะเกิดการฉีกขาดของเอ็นยึดข้อเท้าบริเวณหลังเท้า (anterior talofibular ligament: ATFL) และเอ็นยึดข้อบริเวณใต้ตาตุ่มด้านนอก (calcaneofibular ligament: CFL) โดยมักจะมีสาเหตุมาจากข้อเท้า หรือเท้าบิดหมุนเข้าด้านใน (inversion) ร่วมกับการถีบปลายเท้าลงด้านล่าง (plantarflexion) มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เอ็นยึดข้อเท้าบริเวณด้านนอกเกิดการฉีกขาดได้
- ข้อเท้าแพลงด้านใน (medial ankle sprain) จะเกิดจากการฉีกขาดของเอ็นยึดข้อเดลทอยด์
(deltoid ligament) บริเวณตาตุ่มด้านใน มักมีสาเหตุมาจากข้อเท้า หรือเท้าอยู่ในท่าบิดออกด้านนอก (eversion) มากจนเกินไป จึงทำให้เอ็นยึดข้อเท้า - ข้อเท้าแพลงระดับสูงสุด (high ankle sprain หรือ syndesmotic injury) เกิดการฉีกขาดของเอ็นยึดข้อต่อทิบิโอฟิบูลาร์ส่วนล่าง (inferior tibiofibular ligament) หรือเนื้อเยื่ออินเตอร์รอสเชียส (interosseous membrane) ซึ่งจะทำหน้าที่สร้างความมั่นคงระหว่างกระดูกทิเบียร์ (tibia) และกระดูกฟิบูลาร์ (fibula) และอาจทำให้ข้อต่อ inferior tibiofibular joint บาดเจ็บได้ และ มักจะมีสาเหตุมาจากแรงปะทะจากภายนอกขณะข้อเท้าบิดออกด้านนอก ร่วมกับขาท่อนล่าง (lower leg) บิดหมุนอย่างรุนแรง เช่น กระโดดลงจากที่สูง อุบัติเหตุรถชน เป็นต้น
อาการของโรคข้อเท้าแพลง
- มีอาการบวม รอยฟกช้ำ หรือห้อเลือดร่วมด้วยที่บริเวณข้อเท้า
- มีอาการปวดขณะนำมือไปสัมผัส หรือเดิน โดยเฉพาะขณะลงน้ำหนักที่เท้าข้างที่ได้รับบาดเจ็บ
- มีอาการชา (numbness) หรือการรับรู้ที่ผิดปกติบริเวณข้อเท้า และฝ่าเท้า เช่น ความรู้สึกเย็นมากกว่าปกติ
- การจำกัดองศาการเคลื่อนไหว (limit range of motion) ของข้อต่อในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เท้า เช่น การยืน การเดิน หรือการวิ่ง และการขึ้นลงบันได หรือการออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง และการเล่นกีฬาต่าง ๆ
- ข้อต่อของข้อเท้าหลวมมากกว่าปกติ ส่งผลทำให้ความมั่นคง และการรับรู้ประสาทสัมผัส (proprioceptive sensation) ที่ข้อเท้าลดลงอย่างมาก อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการหกล้ม หรือข้อเท้าพลิกซ้ำ ๆ
- การเดิน หรือวิ่งในพื้นที่ที่ไม่สม่ำเสมอกัน ขรุขระ พื้นมีหลุม หรือเนินมากจนเกินไป
- ผู้สูงอายุที่มีภาวะยืนเดินไม่มั่นคง และอ่อนแรง (weakness) ของกล้ามเนื้อสะโพก เท้า หรือผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน (hypersthenic built)
- การเล่นกีฬาในบางประเภท เช่น กีฬาที่มีแรงปะทะ การกระโดดลงสู่พื้น ใช้ความเร็ว หรือการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว เช่น บาสเกตบอล (basketball), กีฬาฟุตบอล (football), แบตมินตัน (badminton), กระโดดไกล หรือกีฬาที่จะต้องใช้ความยืดหยุ่นของร่างกายมากกว่าปกติ เช่น กีฬายิมนาสติก (gymnastic) เป็นต้น
- อุบัติเหตุลื่นล้ม, หกล้ม, สะดุดล้ม, เดินตกบันได หรืออุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ และอุบัติเหตุทางรถยนต์
- ภาวะอ่อนแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเท้า หรือการทำงานผิดปกติของประสาทรับรู้ข้อต่อ (proprioceptive sensation) ของข้อเท้า
- การสวมรองเท้าที่มีขนาดไม่พอดีกับขนาดเท้า, การใส่รองเท้าส้นสูงในผู้หญิง หรือการใส่รองเท้าผิดประเภท เช่น การนำรองเท้าแตะไปใช้เล่นกีฬาต่าง ๆ เช่น บาสเกตบอล หรือแบตมินตัน, การนำรองเท้าผ้าใบไปใช้เล่นกีฬาฟุตบอล
- ผู้ที่เคยมีประวัติข้อเท้าแพลงมาก่อน และมักจะเกิดการพลิกซ้ำของข้อเท้าอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเอ็นรอบข้อเท้าไม่ค่อยแข็งแรง
โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ เป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็ก บริการรับดูแล และ การรักษา การบำบัด การพยาบาลและการฟื้นฟูร่างกาย ผู้สูงอายุและผู้ป่วย โดยทีมสหวิชาชีพ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลและนักกายภาพบำบัด ผ่านการรับรองมาตรฐานของกระทรวงสาธารสุข
เรารับอาสาดูแลคนที่ท่านรัก เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน โดยทีมงานมืออาชีพมากด้วยประสบการณ์ จากทีมงานสหวิชาชีพผู้ชำนาญการ และเราพร้อมให้บริการ ที่พักแก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ทั้งประจำและไป – กลับ รายวันและรายเดือน เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ป่วยเรื้อรัง ติดเตียง หรือต้องการพักฟื้น เน้นการฟื้นฟูและการบำบัด
Smile Physical Therapy Hospital โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ 87 หมู่9 ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ประเทศไทย 11140
Tel : 099 914 1595 ( คุณแพรว )
Line : @smilehospital24
E-mail : [email protected]
Tiktok : @smilepthospital.com
YouTube : @user-je7ou7rm9b
FaceTBook : โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ (Smile Physical Therapy Hospital)