ภาวะกล้ามเนื้อสูญเสียการประสานสัมพันธ์กัน (Ataxia)
โรคทางสมอง Ataxia คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อของเราทำงานไม่ประสานสัมพันธ์กัน ในขณะที่มีการเคลื่อนไหว โดยเกิดจากการสั่งการและ การควบคุมกล้ามเนื้อที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะควบคุมลักษณะการเคลื่อนไหว ให้เป็นไปตามรูปแบบที่ต้องการได้ อีกทั้งพบความผิดปกติได้ ทั้งกล้ามเนื้อส่วนแกนกลางลำตัว และกล้ามเนื้อแขนขา ทั้งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ กับการเคลื่อนไหวอย่างง่าย หรือการเคลื่อนไหวแบบเป็นกิจกรรม ที่ต้องอาศัยความซับซ้อนของกล้ามเนื้อ เช่น การเดิน หรือการหยิบจับสิ่งของ ผู้ป่วยมักจะมีอาการเซขณะลุกยืน หรือมีอาการทรงตัวไม่อยู่ เดินเซและไม่มั่นคง และทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้ยาก
โรคทางสมอง สาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อสูญเสียการประสานสัมพันธ์กัน เกิดได้อย่างไร ?
โรคทางสมอง โดยมักเกิดจากความผิดปกติ ของสมองส่วนซีรีเบลลัม (Cerebellum) ที่ควบคุมการเคลื่อนไหว รวมถึงในสมองส่วนอื่นที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งความผิดปกติทางระบบประสาทนี้ จะมีผลต่อการส่งสัญญาณของประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้การควบคุมการทำงานประสานสัมพันธ์กัน กับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมีปัญหา ซึ่งความผิดปกติทางระบบประสาท ที่ทำให้เกิดภาวะนี้ เช่น การได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ (Traumatic brain injury) โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis) เนื้องอก (Brain tumor) หรือกลุ่มโรคภูมิต้านทานตัวเอง การติดเชื้อ (Infection) การขาดวิตามินอี หรือวิตามินบี 1,12 การดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นประจำ หรือเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Congenital cerebellar defects) และมีผู้ป่วยอีกจำนวนหลายราย ที่เกิดภาวะนี้แบบไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic ataxia)
ประเภทของ Ataxia มีอะไรบ้าง ?
- Sporadic ataxia (Acquired/Degenerative)
สาเหตุจากความเสื่อมของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว และทางเดินประสาทที่เกี่ยวข้องกัน เช่น cerebellar atrophy หรือ spinocerebellar degeneration จากการขาดวิตามินบี 12 หรือวิตามินอี จากสารพิษ หรือแอลกอฮอล์ เช่น alcohol-related ataxia จากการติดเชื้อ เช่น HIV
- Inherited ataxia (Genetic)
สาเหตุเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทั้งแบบยีนส์เด่น (Autosomal dominant) แบบยีนส์ด้อย (Autosomal recessive) แบบยีนส์ด้อยผ่านทางโครโมโซมเพศชนิด X (X-linked) หรือการถ่ายทอดสู่รุ่นถัดไปผ่านทางมารดา (Mitochondrial (maternal) inheritance) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบ progressive cerebellar ataxia
อาการแสดงที่พบ ได้มีอะไรบ้าง ?
- พูดไม่ชัด (Dysarthria)
- มีความบกพร่องด้านการกะระยะ (Dysmetria)
- อาการตากระตุก (Nystagmus)
- อาการส่ายสั่น (Intention Tremor)
- มีความบกพร่องด้านการกะระยะ (Dysmetria)
- มีความบกพร่องในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและสลับกัน (Dysdiadochokinesis)
- ทำกิจวัตรประจำวันได้ลำบาก เช่น ตักข้าวได้ยาก ติดกระดุมไม่ได้ หยิบจับสิ่งของลำบาก
- มีปัญหาด้านการกินหรือการกลืน
- การทรงตัวไม่มั่นคง (Impaired balance)
- มักจะล้มหรือสะดุดบ่อยครั้ง
- เดินได้ไม่มั่นคง มีอาการเซได้ง่าย
- เมื่อเกิดภาวะ ataxia เป็นระยะเวลานาน มักจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อาการเกร็ง (Spasticity) มีปัญหาด้านการรับรู้การสัมผัส (Sensory disturbance) มีปัญหาด้านการได้ยินหรือการมองเห็น (Auditory and visual impairment) และอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้หรืออารมณ์ร่วมด้วย (Cognitive impairment/Mood changes) 2
การตรวจประเมินและการวินิจฉัย
- การทำการตรวจร่างกายทางระบบประสาท เพื่อประเมินการประสานสัมพันธ์กัน ของการเคลื่อนไหวทั้งการเคลื่อนไหวแบบพื้นฐาน และการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และการทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การรับความของความรู้สึก การรับรู้ของข้อต่อ ความสามารถในการยืนทรงตัว และคุณภาพของการเดิน
- การตรวจปัสสาวะ (Urine analysis) การตรวจเลือด (Blood test) หรือการเจาะน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid: CSF) เพื่อดูเกลือแร่ สารเคมี หรือสารพิษแบบอื่น ๆ เช่น serum B12, thyroid function, folate
- การส่งตรวจเอกซเรย์ทางคอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography Scan: CT scan) การใช้การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging: MRI) ที่บริเวณสมองและกระดูกไขสันหลัง เพื่อดูตำแหน่งพยาธิสภาพที่เกิดขึ้น และแยกโรคต่าง ๆ ซึ่งจะสามารถระบุได้ว่า โครงสร้างใดในสมองที่มีความเสื่อมหรือผิดปกติ เช่น มีความเสื่อมที่สมองน้อย (Cerebellar atrophy) หรือการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (Positron emission tomography: PET) เพื่อที่จะดูการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี และการกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย
- การตรวจยีน ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจากพันธุกรรม (Genetic testing) เพื่อดูโครงสร้างของพันธุกรรม
- การตรวจโดยการใช้แบบประเมิน Scale for the Assessment and Rating of Ataxia (SARA)
การรักษาทางการแพทย์
- การรักษาทางยา โดยเป็นการรักษาตนเอง ตามอาการและอาการแสดง เช่น Propranolol เพื่อลดอาการส่ายสั่น Aminopyridine เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวดีขึ้น Riluzole เพื่อจะลดอาการเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการ Botulinum toxin injection เพื่อจะลดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติไม่สามารถควบคุมได้ (Dystonia) Amitriptyline และเพื่อลดอาการปวด
- การให้วิตามินบี 12 หรือวิตามินอี เพื่อส่งเสริมการทำงานของ mitochondrial function และช่วยลดอาการเสื่อมของสมอง
- การให้คำปรึกษา หรือการให้ยา (Counselling) เมื่อมีอาการซึมเศร้าหรือมีปัญหาทางด้านจิตใจ
- การให้คำแนะนำ และความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินไปของตัวโรค
- การส่งต่อวิชาชีพอื่น เช่น การส่งปรึกษาทางนักเทคนิคการพูด เพื่อสอนเทคนิคในการพูด เพื่อให้สามารถพูดได้ชัดมากยิ่งขึ้น
- การส่งปรึกษานักกิจกรรมบำบัด เพื่อการฝึกการพูด และรวมถึงการกลืน (Speech and swallowing therapy) การส่งไปปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟู ในเรื่องของการเคลื่อนไหว การประสานสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหว การทำงานของกล้ามเนื้อต่าง ๆ การให้ใช้อุปกรณ์ในการช่วยเดิน หรือทำกิจกรรม ต่าง ๆ เช่น ไม้เท้า รถเข็น และการส่งปรึกษานักโภชนาการเรื่องการรับประทานอาหาร เพื่อลดภาวการณ์ขาดสารอาหาร เป็นต้น
บทบาทของนักกายภาพบำบัด มีอะไรบ้าง?
ในผู้ป่วยที่มีภาวะ ataxia จำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจ และรักษาทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการล้ม และเพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด รวมถึงเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่จะใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติ โดยคำแนะนำในการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วย ataxia ดังนี้
- การออกกำลังกายเพื่อฝึกกล้ามเนื้อให้ทำงานประสานสัมพันธ์กันได้ดีขึ้น (Coordination exercise) โดยในการฝึกกลุ่มกล้ามเนื้อแบบยืดยาวออก (Eccentric control) โดยจะให้ควบคุมการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกาย เช่น การกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ ให้ถูกต้อง ออกแรงให้ได้เหมาะสมและแม่นยำ เมื่อทำได้ถูกต้องแล้วจึงปรับให้เป็นท่าทางที่ยากขึ้นตามความสามารถของผู้ป่วยแต่ละราย
- การฝึก เพื่อเพิ่มความมั่นคงของกล้ามเนื้อและข้อต่อ (Stability exercise) ให้เกิดความมั่นคงของร่างกายขณะที่มีการเคลื่อนไหว โดยฝึกให้มีการ co-contraction ของกล้ามเนื้อส่วน agonist และ antagonist เช่น การฝึกความมั่นคงของกล้ามเนื้อสะโพก โดยจะให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นให้ยกสะโพกขึ้น นักกายภาพบำบัดให้แรงต้านในทิศทางต่าง ๆ โดยให้ผู้ป่วยเกร็งค้างไว้ให้นิ่ง ไม่ให้ผลักไปในทิศทางต่าง ๆ ได้
- การออกกำลังกาย เพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนรยางค์แขนและขา (Strengthening exercise) รวมถึงเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทางแกนกลางลำตัว (Core stabilize muscles) ที่ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่สำคัญต่อการทรงท่าต่าง ๆ และการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ (Stretching exercise) เพื่อลดอาการเกร็งและอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อ
- การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานของการไหลเวียนระบบหัวใจและปอด (Endurance exercise) โดยเป็นฝึกกิจกรรมที่มีความต่อเนื่องโดยเป็นระยะเวลานาน และค่อย ๆ เพิ่มความหนัก อย่างเช่น การวิ่งช้า ๆ ระยะทางไกล หรือการปั่นจักรยานในระยะทางไกล เพื่อให้มีความสามารถในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
- การกระตุ้นการรับรู้ด้านการสัมผัส (Sensory stimulation) เพื่อกระตุ้นการป้อนข้อมูลกลับของระบบประสาทการรับความรู้สึกทางกาย (Somatosensory feedback)
โรงพยาบาลกายภาพบำบัด สไมล์ เป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็ก บริการรับดูแล และ การรักษา การบำบัด การพยาบาลและการฟื้นฟูร่างกาย ผู้สูงอายุและผู้ป่วย โดยทีมสหวิชาชีพ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลและนักกายภาพบำบัด ผ่านการรับรองมาตรฐานของกระทรวงสาธารสุข
เรารับอาสาดูแลคนที่ท่านรัก เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน โดยทีมงานมืออาชีพมากด้วยประสบการณ์ จากทีมงานสหวิชาชีพผู้ชำนาญการ และเราพร้อมให้บริการ ที่พักแก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ทั้งประจำและไป – กลับ รายวันและรายเดือน เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ป่วยเรื้อรัง ติดเตียง หรือต้องการพักฟื้น เน้นการฟื้นฟูและการบำบัด
Smile Physical Therapy Hospital โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ 87 หมู่9 ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ประเทศไทย 11140
Tel : 099 914 1595 ( คุณแพรว )
Line : @smilehospital24
E-mail : [email protected]
Tiktok : @smilepthospital.com
YouTube : @user-je7ou7rm9b
FaceTBook : โรงพยาบาลกายภาพบำบัดสไมล์ (Smile Physical Therapy Hospital)